วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555

ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร

 

 ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร


การทำเส้นใยจากรังไหม

         ผ้าไหมของไทยมีชื่อเสียงขึ้นชื่อลือชาไปทั่วโลก ความเงาแววระยับของผ้าไหมเอาไปตัดสูท ตัดเสื้อทรงไหนก็สวยเส้นไหมได้มาจากการนำรังของตัวไหมมาปั่นเป็นเส้นใย เส้นไหมนี้มีคุณสมบัติพิเศษที่เด่นหว่าเส้นฝ้ายคือ มีความเหนียวทนทานและมีประกายเงางามกว่าเส้นไหมที่ได้จากการปั่น

การทำเส้นใยจากรังไหม
 - หลังจากที่ได้รังไหมแล้วคัดรังไหมที่เสียออกก่อน
 - นำรังไหมมาคัดอีกรอบโดยการสาวเอาไหมเปลือกนอกออก
 - หลังจากที่ได้เส้นไหมเปลือกนอกแล้ว
 - ทำการสาวไหมอีกครั้งไหมที่ได้จะเป็นไหมที่มีคุณภาพดี
 - ถ้าต้องการให้กาวออกจากเส้นไหมต้องนำเส้นไหมไปฟอกโดยจะใช้กรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์


     รังไหมก่อนที่จะนำมาสาว เกษตรกรจะต้องมีการคัดแยกรังไหมเพื่อแยกรังเสียออกเพื่อให้เส้นไหมที่ออกมา มีคุณภาพดีถ้าหากไม่มีการคัดแยกนำรังดีและรังเสียมาสาวปนกันคุณภาพเส้นไหม ที่ได้ก็จะมีคุณภาพลดลงด้วย

      การสาวไหม คือ การดึงเส้นใยออกจากรังไหมเส้นไหมที่ได้มาจากการดึงเส้นใยจากรังไหมหลาย ๆ รังรวมเป็นเส้นเดียวโดยเส้นใยจะพันกันเป็นเกลียวทำให้เกิดการยึดเกาะซึ่งกัน และกันเส้นไหมที่ได้จึงมีความเหนียวทนทานและเลื่อมมันจากการหักแหของแสง

      การสาวไหมในระดับเกษตรกรเป็นการสาวไหมโดยเกษตรกร เครื่องสาวไหมที่ใช้จะมีทั้งแบบพื้นบ้านแบบปรับปรุงโดยใช้แรงคนและแบบปรับ ปรุงโดยใช้มอเตอร์ เป็นต้นเส้นไหมที่ผลิตได้ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดจะใช้เป็นเส้นพุ่งในการผลิต ผ้าไหม
แหล่งอ้างอิงข้อมูล :
ชื่อ - นามสกุล : คุณบาลรุณ ไชยศิริ อายุ : 54 ปี
ที่อยู่ : 69 หมู่ที่1 ตำบลสร้างค้อ อำเภอภูพาน จังหวัดสกลนคร




เทคนิคการนำต้นกกมาทอเสื่อ

        ปัจจุบันได้มีเกษตรกรบางกลุ่มได้ผลิตเสื่อจากต้นกก เพื่อจำหน่ายเป็นรายได้ในกลุ่มและผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจในตำบลอีกด้วย วันนี้ขอแนะนำเทคนิคการนำต้นกกมาทอเสื่อดังนี้

เทคนิคการนำต้นกกมาทอเสื่อ
        กลุ่มทอเสื่อกกบ้านแม่แก้วรุ่งเรือง เลขที่ 279 บ้านแม่แก้วรุ่งเรือง หมู่ 14 ตำบลแม่อ้อ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย โดยที่คุณจำปี นันติ ซึ่งเป็นประธานกลุ่มให้สัมภาษณ์กับทางทีมงานว่า กลุ่มทอเสื่อกก เริ่มดำเนินการครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2546 ณ บ้านเลขที่ 131 หมู่ 14 ตำบลแม่อ้อ อำเภอพาน จังหวัดเชียงรายเป็นที่ทำการ ในขณะนั้นมีสมาชิกทั้งหมด 24 คน และมีนางนาค เตปิน เป็นประธานกลุ่มในขณะนั้น และมีวงเงินทุนดำเนินการทั้งหมด 1,200 บาท ซึ่งได้จากการรวบรวมเงินซื้อหุ้นของสมาชิกทั้งหมดจำนวน 120 หุ้นๆละ 100 บาท แต่ปัจจุบันได้มีการย้ายที่ทำการมายังบ้านเลขที่ 279 บ้านแม่แก้วรุ่งเรือง หมู่ 14 ตำบลแม่อ้อ อำเภอพาน โดยมีคุณจำปี นันติ เป็นประธานกลุ่ม ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 31 คน และมีเงินออมของกลุ่มทั้งหมด 15,000 บาท ชาวบ้านในกลุ่มส่วนใหญ่เป็นคนพื้นเมืองในชุมชนบ้านแก้วรุ่งเรือง มีกลุ่มแม่บ้านหลายครอบครัวมารวมกลุ่มกันโดยตั้งเป็นกลุ่มทอเสื่อกกของกลุ่มแม่บ้าน โดยได้ศึกษาและนำเอาวิชา ทอเสื่อ มากระจายให้ความรู้กันภายในกลุ่ม และได้ยึดเป็นอาชีพเสริม ได้มีการนำทรัพยากรจากธรรมชาติ คือต้นกก ซึ่งสามารถหาได้ง่ายในชุมชนมาใช้ให้เกิดประโยชน์สร้างรายได้ให้กับสมาชิกในกลุ่ม และผลิตภัณฑ์เสื่อกกของกลุ่มหมู่บ้านแม่แก้วรุ่งเรืองยังได้เข้าการคัดเลือกเป็นหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ไทย ในปี พ.ศ.2549 นอกจากนั้นยังได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) จากกระทรวงอุตสาหกรรม มผช.เลขที่ 7/2547 ในวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ.2549 อีกด้วย

ต้นกก

      เริ่มต้นด้วยการปลูกต้นกก นั้นมีขั้นตอนค่อนข้างง่าย กกจะเป็นพืชที่ชอบขึ้นในพื้นที่ลุ่มและแฉะ เช่นในหนองน้ำตื้นๆ ที่มีน้ำขัง หรือเกษตรกรบางท่านจะมีการปลูกกกหลังฤดูกาลทำนา ถ้าพื้นที่นาใกล้กับหนองน้ำจะทำให้โตไว ดูแลรักษาง่ายขึ้น แต่บางพื้นที่ก็ไม่จำเป็นต้องปลูกต้นกก เพราะกกสามารถหาได้ง่ายในชุมชน ซึ่งชุมชนบ้านแม่แก้วรุ่งเรืองก็เป็นอีกชุมชนหนึ่งที่มีการปลูกต้นกกอยู่ บ้างแต่ก็ไม่มากนัก เพราะกกที่ขึ้นเองตามธรรมชาติตามหนองน้ำและในนาข้าวหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยวก็ มีค่อนข้างจะเพียงพออยู่แล้ว จึงง่ายและประหยัดทั้งต้นทุนและแรงงานในการปลูกต้นกก

ต้นกกแห้ง

        ลักษณะของเส้นกกที่ตากจน แห้งสนิทแล้ว ถ้าแดดร้อนจัดก็จะใช้เวลาตากประมาณ 3-4 วัน การที่ต้องตากเส้นกกจนแห้งสนิท เพื่อทำให้การย้อมสีเส้นกกมีการดูดซึมสีได้กว่าเส้นกกที่ยังมีความชื้นหลง เหลืออยู่ และข้อสำคัญยังสามารถป้องกันการเกิดเชื้อราของเสื่อได้อีกทางหนึ่งด้วย นอกจากนั้นยังทำให้การทอง่ายขึ้นและได้เสื่อที่มีน้ำหนักเบา สะดวกต่อการพกพาและเคลื่อนย้าย

การผลิตเสื่อกก

        วิธีการผลิตเสื่อกก ขั้น ตอนแรกต้องตัดกกสามเหลี่ยมที่มีขนาดโตเต็มที่แล้ว มาจักเป็นเส้น นำมาตากให้แห้ง หลังจากนั้นนำเส้นกกที่แห้งสนิทแล้วมาทอเป็นเสื่อตามลวดลายที่ต้องการ ลายที่ง่ายที่สุดคือลายชัด ถ้าต้องการให้มีสีสวยงาม สามารถนำเส้นกกมาย้อมสี แล้วตากให้แห้งก่อนนำมาทอเป็นเสื่อภายหลังก็ได้
ทอเสื่อ

วัสดุที่ใช้ในการผลิตเสื่อกกมีดังนี้คือ
-เส้นกก
-เส้นเอ็น หรือ เชือกในร่อน เชือกปอปั่นขนาดเล็ก
-สีย้อมกก
-มีดจักกก ต้องเป็นมีดปลายแหลมขนาดเล็ก
-อุปกรณ์ในการย้อมสี เช่นเตา ปี๊บ
-อุปกรณ์ในการทอเสื่อ เช่น ฟืม ไม้พุ่งกก


ทอเสื่อ


          ฟืม เป็นชื่อเรียกของอุปกรณ์ในการทอเสื่อกก ซึ่งจะมีลักษณะดังภาพ จะมีการประกอบฟืมขึ้นเองโดยผู้เฒ่า ผู้แก่ที่เคยมีประสบการณ์ในการผลิตเสื่อมาเป็นเวลานาน ฟืมจะมีลักษณะไม่ใหญ่มากนัก ซึ่งชิ้นส่วนที่สำคัญส่วนใหญ่ทำจากไม้ไผ่ จะมีไม้ขนาดใหญ่อยู่ตรงส่วนล่างสุดและบนสุดของฟืม ส่วนตรงกลางจะเป็นเส้นเอ็นที่ใช้ทอให้เส้นกกวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ และตามลวดลายที่ต้องการ นอกจากนั้นจะมีแผ่นไม้อยู่ในส่วนกลางของฟืมจะมีการเจาะรูเล็กๆสำหรับเส้น เอ็นลอดผ่านได้ เพื่อช่วยให้เส้นกกทับเรียงกันให้แน่นขึ้น และยังมีอุปกรณ์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือไม้พุ่งกก จะมีลักษณะเป็นไม้ไผ่มีขนาดเล็ก แข็งแรงและยาวพอสมควร ใช้สำหรับการสอดเส้นกกเข้าไปในฟืมตั้งแต่เริ่มทอจนกระทั่งทอเสร็จเรียบร้อย


 
 ยืนถือ เสื่อ

       ลักษณะของเสื่อที่ทอเรียบ ร้อยแล้ว ของกลุ่มทอเสื่อแม่แก้วรุ่งเรือง จะมีแบบลวดลายที่สวยงาม และคงทน เพราะผู้ทอเสื่อมีความชำนาญและมีประสบการณ์ที่สั่งสมกันมาเป็นเวลานาน ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาแต่ละชิ้นจึงมีคุณภาพสูง และราคาก็ไม่แพง นอกจากนั้นยังสามารถสร้างรายได้เสริมที่ยั่งยืนให้กับสมาชิกในกลุ่มตลอดทั้ง ปีนอกเหนือจากการทำการเกษตรกรรม

        ผลิตภัณฑ์เสื่อของกลุ่มทอเสื่อบ้านแม่แก้วรุ่งเรือง มีลวดลายที่สวยงาม คงทน เป็นที่นิยมของคนในชุมชนทั่วไป จะมีขนาดพอเหมาะ ไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป ขนาดกว้างxยาว ประมาณ 1.5x2 เมตร ราคาประมาณ 80-100 บาท
  
แหล่งอ้างอิงข้อมูล :
ชื่อ - นามสกุล : คุณจำปี นันติ อายุ : 40 ปี
ที่อยู่ : 279 หมู่ที่14 ตำบลแม่อ้อ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย




ทำนกจากลูกมะพร้าว

         นกมะพร้าวครูตุ่มผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ การทำนกจากลูกมะพร้าว หลังวัยเกษียณ หวังอนุรักษ์นกพันธุ์หายากไว้ให้ลูกหลานได้ดู กลายเป็นสินค้าโอทอป 3 ดาว

       ยุพิน รุ่งชัช (ครูตุ่ม)เดิมเป็นครูโรงเรียนพลายชุมพล สพท.พล.เขต 1 อำเภอเมืองพิษณุโลกจังหวัดพิษณุโลก อาศัยอยู่ชุมชนพระร่วง ซอย 2 เจ้าของความคิดนกมะพร้าว เป็นคนรักนก แต่ไม่ชอบเลี้ยงนก ชีวิตจริงสมัยเป็นเด็กเคยอยู่ชนบท ป่าเขาลำเนาไพร มีนกมากมายหลายชนิด อยากให้เด็ก ๆได้เห็นเป็นการอนุรักษ์ธรรมชาติ จึงได้ปรึกษา พ.ท.กุหลาบ ทองเกล็ด(คุณตา) ซึ่งเป็นผู้ที่รักงานประดิษฐ์ มีความประณีต มีความคิดสร้างสรรค์มีความขยันอดทน ไม่ว่าจะเป็นงานไม้ งานฝีมือ อาทิ หมวกทรงต่าง ๆจากกล่องนม กล่องสุรา จักสานด้วยเชือก งานช่างไม้ แต่ไม่ได้ทำเป็นจริงเป็นจัง เพื่อการการค้าหรือเป็นอาชีพ ส่วนใหญ่จะทำเป็นงานอดิเรกและใช้เองภายในบ้าน เก็บไว้ดูตั้งตู้โชว์ทำเป็นของฝากให้กับญาติ ๆหลาน ๆ ที่มาเยี่ยมบ้านเท่านั้น ว่าทำอย่างไรจะทำให้นกเคลื่อนไหวได้ และให้ดูเป็นธรรมชาติ
การทำนกมะพร้าวนี้ มะเหมี่ยว ซึ่งเป็นผู้ช่วยคุณตา และซึมซับการเป็นช่างประดิษฐ์ที่ได้เห็นมาตั้งแต่เล็ก ๆ จะเป็นผู้ประกอบตัวนก รวมทั้งเหลาส่วนขาและคอบ จากนั้นครูตุ่มและลูกสาวระบายสีของนกแต่ละชนิดให้คล้ายของจริงมีความสวยงาม ระยะแรกทำเพียงไม่กี่ตัวเพื่อประดับบ้าน แขวนโชว์เพื่อแสดงความภูมิใจในผลงานที่ได้ช่วยกันทำ ต่อมาเริ่มมีคนเห็น และขอติดมือกลับไปหลายครั้ง จึงเกิดการบอกต่อและมาขอให้ทำขายเพื่อจะได้ซื้อไปแขวนไล่นกบ้าง ประดับสวนบ้าง แขวนไว้เป็นเพื่อเล่นเด็ก ๆและคนแก่บ้าง บางคนก็นำไปวางบนโต๊ะอาหารให้ไล่แมลงวัน อย่างนี้เป็นต้น ความคิดที่จะขยายเพื่อให้เป็นผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน และชุมชนจึงเกิดขึ้น ซึ่งก็ไม่เป็นการเสียหายอะไรแถมมีรายได้จากงานที่เกิดจากกลุ่มคนที่มีความ ชอบประดิษฐ์คล้าย ๆกัน แม้นกมะพร้าวจะเป็นงานที่ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย ถ้าไม่ใช่คนมีใจรักจะทำและพัฒนาตกแต่งให้มีรูปแบบหลากหลายคงทำได้ไม่ดี ถึงกระนั้นนกมะพร้าวครูตุ่มก็มีราคาไม่แพงเกินกว่าคนทั่วไปจะซื้อได้


การทำนกจากมะพร้าว
        ลักษณะของนกทำจากลูกมะพร้าวและไม้ มีคอความเคลื่อนไหวได้ สีสันสวยงาม สามารถถอดซ่อมแซมเมื่อชำรุด หรือระบายสีใหม่ได้ มีหลากสี หลายพันธุ์ให้เลือก สามารถต่อยอดออกไปได้เรื่อย ๆตามความคิดสร้างสรรค์



การทำกระทงจากซังข้าวโพด


การทำกระทงจากซังข้าวโพด




การทำไม้กวาดดอกหญ้า

       ไม้กวาด เป็นอุปกรณ์ที่ยังจำเป็นต้องใช้ภายในครอบครัว แม้ปัจจุบัน บางบ้านได้นำเครื่องดูดฝุ่นเข้ามาใช้บ้างแล้ว แต่ก็ยังมีบ้านและสถานที่ต่าง ๆ อีกจำนวนไม่น้อย ที่ต้องการใช้ไม้กวาด ดังนั้น การทำไม้กวาดเพื่อจำหน่าย จึงเป็นการเสริมรายได้อีกทางหนึ่งให้กับครอบครัวได้


การทำไม้กวาด

 

การทำเรือเปล

          ประมาณต้นเดือนมกราคม 2542 นายทรง บดีรัฐ มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมญาติพี่น้องทางภาคเหนือหลายจังหวัด ได้สัมผัสวัฒนธรรมประเพณีที่ดื่มด่ากับวิถีชนบทที่เรียบง่าย แต่สิ่งที่นายทรง บดีรัฐ จาได้ไม่เคยลืมเลือน คือผลิตภัณฑ์เปลไม้ไผ่ที่ชาวบ้านภาคเหนือทำไว้ใช้กันเองภายในครัวเรือน เพราะชาวเหนือปลูกบ้านมักยกใต้ถุนสูง เรือเปลจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ หลังเสร็จสิ้นการงานที่แสนจะเหน็ดเหนื่อย กลับจากการเยี่ยมเยือนญาติพี่น้อง นำเอาความจำในเรื่องเรือเปลมาดัดแปลงเพื่อใช้พักผ่อนอยู่กับบ้าน เพราะนอนแล้วเย็นสบายไม่เหนียวตัว ระยะแรก ๆ ก็ทำไว้ใช้เองและแจกจ่ายให้กับผู้นำชุมชนไปใช้ โดยไม่จำหน่าย ปี 2543 ต้นปีมีการชักชวนให้สมาชิกมาลองทาเพื่อเป็นอาชีพเสริม เนื่องจากเปลที่ทำไว้ใช้เองถูกขอซื้อไปจากหมู่บ้านทั้งหมด ทั้ง ๆ ที่เป็นของเก่าใช้แล้วเมื่อเห็นว่าผลิตภัณฑ์มีราคา เป็นที่สนใจของคนทั่วไป จึงได้รวมกลุ่ม และได้สมาชิกที่มีความมุ่งมั่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่ว่างงาน และมีความตั้งใจ ระยะเริ่มแรกมีสมาชิก 12 คน ได้ช่วยกันทำและนามาวางขายบริเวณหน้าบ้าน ซึ่งเป็นถนนสายหลัก เป็นการจาหน่ายแบบของใครของมัน ไม่มีการรวมกลุ่มกันขาย จึงทำให้มีการขายตัดราคา และแตกแยกกันเองภายในกลุ่ม วันที่ 12 สิงหาคม 2549 ซึ่งเป็นวันแม่แห่งชาติ สมาชิกกลุ่มจึงมีมติ “ทำเพื่อแม่ของแผ่นดิน” จัดทำศูนย์รวมผลิตภัณฑ์ไว้จุดเดียวกัน เพื่อกำหนดราคาขายให้เป็นแนวทางเดียวกัน ปัจจุบันมีสมาชิกรวม 29 คน


    
การทำเปลไม้ไผ่ (เรือเปล)

 

เทคนิคจักสานเถาวัลย์

          กลุ่ม แม่บ้านจักสานเถาวัลย์บ้านปากดง – โป่งเขนง ได้ก่อตั้งโดย นางสิมมา พลีสัตย์ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2546 ผู้ก่อตั้งเป็นคนในหมู่บ้านปากดง –โป่งเขนง อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ ได้ผ่านการดูงานเกี่ยวกับร้านค้าที่แสดงในงานส่งเสริมของภาครัฐทั้งใน จังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดใกล้เคียง ทำให้ผู้ก่อตั้งมีความสนใจในงานผลิตภัณฑ์จากเถาวัลย์ จึงได้กลับมาเริ่มทดลองทำขายที่บ้านของตนเอง และร่วมกลุ่ม ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก จึงได้พัฒนาฝีมือให้เกิดความชำนาญมากขึ้น งานมีคุณภาพมากกว่าเดิม จึงมียอดสั่งผลิตภัณฑ์เข้ามาอยู่เสมอ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา 5 ปี ทำให้พัฒนาฝีมือและรูปแบบได้หลากหลายมากขึ้นเพื่อรองรับความต้องการกลุ่มผู้ บริโภคที่ทีความแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา

 

เทคนิคการจักสานเถาวัลย์

 

เครื่องปั้นดินเผา

        นายรุ่ง นวลไผ่ มีอาชีพผลิตเครื่องปั้นดินเผา อาทิ กระถางต้นไม้ อ่างน้ำ หม้อ ไห้ ด้วยแหล่งดินเหนียวที่ดีและมีคุณภาพใน อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก ผลิตแปรรูป จำหน่ายเครื่องปั้นดินเผาในในจังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดใกล้เคียง



การทำเครื่องปั้นดินเผา


          กระถางดินเผาบ้านวังดินสอ ตำบลวังนกแอ่น อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก เป็นแหล่งผลิตกระถางดินเผาที่สำคัญของจังหวัด มีกระถางดินเผาจำหน่ายราคาตั้งแต่4 บาทถึง60 บาท รวดลายต่างๆ มากมาย ในการทำจะเตรียมดินสำหรับใช้ปั้นกระถางเป็นดินเหนียวที่มีคุณสมบัติดี ไม่มีดินลูกรังปน เป็นดินที่หาได้จากอำเภอวังทอง โดยซื้อมาครั้งละหลายตัน หลังจากที่ได้ดินมาเเล้วจะทำการหมักดินแช่น้ำ 2 ชั่วโมง จึงนำดินมาเข้าเครื่องตีผสมดินเครื่องตีผสมดิน นำดินผสมทรายอัตรา 1 ต่อ 1 ผสมให้เข้ากัน ดินเมื่อผสมเสร็จนำมาปั้นเป็นแท่งสำหรับนำมาเตรียมให้ในการปั้นเป็นรูปแบบ ต่างๆต่อไป โดยเป็นเเท่งขนาดละประมาณ1.5 กิโลกรัม กระถางที่ปั้นต้องได้มาตราฐานเดียวกัน ขนาดเดียวกัน จะมีไม้สำหรับวัดขนาดเพื่อรักษามตราฐานและขนาด เมื่อปั้นขึ้นรูปแล้วเขียนลายข้างกระถางด้วย อุปกรณ์เขียนลายทำด้วยท่อพีวีซีแกะสลักเป็นลายดอกไม้ จากนั้นนำไปผึ่งลมให้เเห้ง เมื่อเเห้งดีเเล้ว นำไปเข้าเตาอบขนาดใหญ่ โดยใช้ฟืนในการทำเชื้อเพลิง ดดยใช้เวลาอบ1-2 วัน เครื่องปั้นดินเผาที่ทำเสร็จเเล้ว นำไปตากเเดดอีกครั้ง รอจำหน่ายต่อไป

 

การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากกล้วย

        คุณภัทรนภา บุญญาวงศ์ อยู่ ต.บึงพระ อ.เมืมอง จ.พิษณุโลก ประกอบอาชีพหลักคือทำผลิตภัณฑ์จากปอกล้วย นำไปจำหน่ายในพื้นที่ต่างๆในจังหวัดพิษณุโลก เเละจังหวัดอื่นๆ โดยมีการต้นกล้วยมาจักให้เป็นเส้เเล้วนำไปตากเเดดให้เเห่ง เเล้วนำมาแปรรูปเป็นเฟอร์นิเจอร์อย่างสวยงาม ได้เเก่ ชุดรับเเขก โคมไฟ เเละอื่นๆอีกหลายรายการ โดยเริ่มทำมาหลายปีเเล้ว โดยเป็นงานฝีมือที่ทำด้วยตัวเอง ทำไปจำหน่ายตามงานเเสดงสินค้าต่าง ๆ ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีความสวยงาม เเละคงทน สามารถใช้งานได้หลายปี ทำให้เสริมสร้างรายได้อย่างงามให้กับคุณภัทรนภา


การแปรรูปปอกล้วยเป็นผลิตภัณฑ์

 

การแปรรูปไม้ไผ่เป็นไม้ย่างไก่

        คุณ ลำดวน คงมา อยู่บ้านเลขที่ 263 หมู่ที่ 5 ตำบลทับยายเชียง อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก ประกอบอาชีพทำนา ว่างเว้นจากการทำนามีอาชีพเผาถ่านจากไม้ยูคาเอาไว้ใช้เอง เเละที่เหลือเอาไว้จำหน่าย นอกจากนี้ยังมีอาชีพ เหลาไม้ย่างไก่เอาไว้จำหน่าย โดยมีพอค้ามารับถึงบ้าน ดดยจำหน่ายราคาลังละ 100 บาท 1 ลังมีจำนวน 1200 อัน

 

การนำไม้ไผ่มาทำพัด

       คุณป้าลมเพย อาบัว เป็นประธานกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรทำจักรสาน เมื่อว่างจากการทำนาก็รวมกลุ่มกันสานพัดเพื่อส่งขายตามท้องตลาดและมีคนมา สั่งให้ทำแล้วส่งไปต่างจังหวัด พัดที่กลุ่มป้าลมเพยทำจะมีลักษณะสีสันสดสวด และมีฝีมือประณีต สำหรับเรื่องราคา ถ้าราคาส่งจะอยู่ที่อันละ 8 บาท (พัดเล็ก) 10 บาท ขายปลีกอันละ 15 บาท อันใหญ่ กุ้งตัวละ 10 บาท ทำวันหนึ่ง ได้ 15 ด้ามต่อคน หนึ่งเดือนทางกลุ่มจะทำ 4 ครั้ง  

 


การนำไม้ไผ่มาทำพัด  

 

การทำสบู่สมุนไพร

         ปัจจุบัน ผู้บริโภคนิยมใช้สบู่ที่มีส่วนผสมของสมุนไพรกันอย่างแพร่หลาย เพราะผู้ บริโภคคำนึงถึงสุขภาพและหันมาให้ความสำคัญและเล็งเห็นถึงประโยชน์ของสมุนไพร ไทยกันมากขึ้น จึงอยากแนะนำสบู่ที่ทำมาจากสมุนไพรไทยของพ่ออินผ่อง แก้ว ดำ เกษตรกรผสมผสาน ศูนย์เรียนรู้ฯ ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ซึ่ง เป็นผู้ที่ได้ศึกษาและมีประสบการณ์ในการผลิตสบู่จากสมุนไพรและผลไม้ไทยมา เป็นเวลานานซึ่งได้รับการอบรบจากศูนย์ดอยรายปลายฟ้าเมื่อหลายปีก่อน แล้วนำ มาปรับใช้จนได้รับการยอมรับว่าเป็นสบู่ที่มีคุณภาพ โดยมีวิธีการผลิต ง่ายๆ ดังต่อไปนี้คือ


เทคนิคการทำสบู่ก้อนสมุนไพรใช้เอง มีส่วนประกอบดังนี้
1. เกล็ดสบู่(มีกลีเซอรีน) 1 กิโลกรัม
2. สารสกัดจากสมุนไพรที่หาได้ในชุมชน ชนิดใดชนิดหนึ่ง (ขมิ้นชัน แตงกวา นมถั่วเหลือง ครีมขาว ใบบวบ ดอกกุหลาบ ส้ม มะเฟือง ฟ้าทะลายโจร พญาลอ ว่านหางจระเข้ ใบบัวบก มะขามเปียก มะละกอ กล้วยน้ำว้า เสารส สับปรด แตงโม เป็นต้น จำนวน 200-350 มิลลิลิตร(4 ช้อนโต๊ะ)
3. กลิ่นตามใจชอบ
4. น้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ


วิธีทำ
- ให้นำสารสกัดจากสมุนไพรที่เตรียมไว้ 100 กรัม ล้างให้สะอาด ปั่นกับน้ำกรอง 200-350 มิลลิลิตร กรองเอากากออก น้ำที่ได้จะเป็นสีออกมาคลายๆกับสีของวัตถุดิบนั้นๆ กลิ่นหอมสดชื่นตามธรรมชาติ แล้วนำมาผสมกับน้ำผึ้งอีก 4 ช้อนโต๊ะ
- ใช้หม้อสแตนเลสจะทำให้ร้อนทั่วถึง ใช้ไฟอ่อนๆ ต้มจนเกล็ดสบู่ละลายแล้วเติมน้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ นำน้ำสมุนไพรที่เตรียมไว้เติมลงไป แล้วใส่น้ำหอมกลิ่นตามต้องการ เสร็จแล้วเทใส่พิมพ์ พอสบู่เย็นลงให้ตัดสบู่เป็นก้อนๆ ตามขนาดที่ต้องการ


วิธีใช้และประโยชน์
- ใช้อาบน้ำและล้างหน้า
- ช่วยขจัดคราบสกปรกบนใบหน้าและร่างกาย
- ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดชื่นผ่องใส ตามสรรพคุณของสารสกัดสมุนไพรที่ใช้


หมายเหตุ
     สมุนไพรที่สามารถนำมาทำสบู่ได้มีหลากหลายชนิด เช่น ขมิ้นชัน แตงกวา นมถั่วเหลือง ครีมขาว ใบบวบ ดอกกุหลาบ ส้ม มะเฟือง ฟ้าทะลายโจร พญาลอ ว่านหางจระเข้ มะขามเปียก มะละกอ กล้วยน้ำว้า อาโวกาโด สับปะรด เสาวรส แตงโม ฯลฯ


ภูมิปัญญาจาก : คุณอินผ่อง แก้วดำ หมู่ 1 ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย
ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลการเกษตร 1677 จ.เชียงราย




  อาหารและผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป 


         กลุ่มธุรกิจประเภทนี้ถือได้ว่าเป็นธุรกิจที่มีผู้สนใจลงทุนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เพราะเราปฎิเสธไม่ได้ว่ามนุษย์มีชีวิตอยู่ได้ด้วยอาหาร ซึ่งในอดีต อาหารที่เห็นมีจำหน่ายจะมีเฉพาะข้าวราดแกง และ ก๋วยเตี๋ยว แต่ปัจจุบันได้มีผู้สร้างสรรค์ธุรกิจอาหารได้หลากหลาย ซึ่งบางธุรกิจสามารถขยายสาขา จนกลายเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ในที่สุด ศูนย์ธุรกิจอุตสาหกรรม (BOC) จึงได้รวบรวมและนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจอาหาร เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้นำไปศึกษาประกอบการตัดสินใจลงทุน
                                  


ธุรกิจเบเกอรี่  การเปิดร้านเบเกอรี่ เป็นอีกหนึ่งธุรกิจในฝันของใครหลายคน แต่การเปิดร้านเบเกอรี่ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องอาศัยทั้งฝีมือ อุปกรณ์ และ ระบบจัดการที่พร้อมสมบูรณ์ ร้านเบเกอรี่ครบวงจรที่เปิดได้ง่ายๆ มีจุดขายจากเมนูต่างๆ กว่า 80 รายการ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ชื่นชอบการรับประทานเบเกอรี่ 

ลูกชุบขนมไทย  เป็นขนมไทยที่ทำจากถั่วเขียวกวน ปั้นเป็นรูปตางๆ ลูกชุบมีผู้ผลิตน้อยกว่าความต้องการในตลาด ทั้งนี้เพราะการทำลูกชุบต้องใช้ฝีมือในการปั้น และใช้เวลานาน จึงทำออกมาจำหน่ายครั้งละไม่มาก การทำธุรกิจนี้ไม่ได้วัดกันแค่รสชาติและกำลังการผลิต แต่ความคิดสร้างสรรค์เป็นหัวใจสำคัญที่เป็นกลยุทธ์ดึงดูดใจลูกค้า

 ธุรกิจร้านสเต็ก 59 บาท  สเต็ก (Steak) เป็นอาหารที่คนไทยและต่างประเทศรู้จักกันดี ผู้คนส่วนมากชอบรับประทาน แต่สเต็กที่อร่อยๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ตามร้านใหญ่ๆ โรงแรมและมีราคาแพง ทำให้ปัจจุบันมีการดัดแปลงเมนูสเต็กจากราคาหลายร้อยให้มีราคาถูกลง ซึ่งได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั่วไปเพิ่มมากขึ้น

 ธุรกิจซาลาเปา  เป็นอาหารนึ่งที่ทำมาจากแป้งสาลีและยีสต์มีใส้อยู่ภายในให้เลือกหลายอย่างหารับประทานได้ง่าย ราคาไม่แพง โดยการขายซาลาเปามีหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบรถเข็น ตั้งโต๊ะขาย ร้านสะดวกซื้อ จนถึงห้างสรรพสินค้า ซึ่งแต่ละแห่งจะมีข้อดี - ข้อจำกัดแตกต่างกันไป

ธุรกิจร้านก๊วยเตี๋ยวน้ำตก  หรือ ก๋วยเตี๋ยวเรือ มีทั้งเนื้อและหมู เป็นก๋วยเตี๋ยวที่ผูกพันกับวิถีชีวิตคนไทยมานาน ในสมัยก่อนจะขายในเรือพายตามคลอง จึงเป็นที่มาของชื่อ ชามที่ใส่จะมีลักษณะเล็ก ปัจจุบันด้วยวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ก๋วยเตี๋ยวหันมาเปิดร้านขายบนบกในอาคารพาณิชย์แทน บางแห่งยังไม่ละทิ้งสัญลักษณ์ของความเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือ โดยนำเรือมาตั้งอยู่หน้าร้าน

ขนมขบเคี้ยวจากทุเรียน  ตลาดในประเทศไทยนิยมบริโภคขนมขบเคี้ยวมูลค่าประมาณ 7,500 ล้านบาท และมีอัตราขยายตัวร้อยละ 15-20ต่อปี และผู้บริโภคมักไม่ค่อยยึดติดกับยี่ห้อสินค้ามากนัก ทำให้มีผู้ประกอบการรายใหม่ๆ สนใจส่งสินค้าเข้ามาในตลาดขนมขบเคี้ยวอยู่ตลอดเวลา รวมไปถึงขนมขบเคี้ยวที่แปรรูปมาจากผลไม้

ธุรกิจร้านกรีนนี่ โดนัท  เมื่อเอ่ยถึงโดนัท ทุกคนคงนึกถึงขนมแป้งทอดที่มีรูตรงกลาง จากประวัติที่ยาวนาน จนปัจจุบันได้กลายมาเป้นขนมยอดฮิต เกิดการแข่งขันทางธุรกิจในทุกภูมิภาคทั่วโลก ในภาพรวมแล้ว โดนัทแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ โดนัทยีสต์และโดนัทเค้ก

ก๊วยเตี๋ยวตุ๋นไก่มะระ  เป็นก๋วยเตี๋ยวอีกประเภทหนึ่งที่มีความนิยมในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบการบริโภคก๋วยเตี๋ยว เพราะเป็นก๋วยเตี๋ยวที่หาทานง่าย เน้นรสชาติน้ำซุบเข้มข้น ราคาไม่แพง พร้อมด้วยคุณค่าสารอาหารจากมะระ  

แปรรูปเนื้อสุกร (ผลิตภัณฑ์หมูยอ)  การเลี้ยงสุกรเป็นอาชีพเสรี มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มจำนวนและลดจำนวนอย่างรวดเร็วตามวัฎจักรตลาด โดยผู้เลี้ยงมากกว่าร้อยละ 70เป็นฟาร์มขนาดใหญ่ครบวงจร ร้อยละ 20-25 เป็นฟาร์มขนาดกลางและขนาดเล็ก ผู้เลี้ยงรายย่อยมีเพียงร้อยละ 5 และผลผลิตเนื้อสุกรร้อยละ 25 เป็นกลุ่มชำแหละและแปรรูป ผลิตภัณฑ์สุกรที่นิยมบริโภคในประเทศส่วนใหญ่เป็น ไส้กรอก แฮม ลูกชิ้น และผลิตภัณฑ์พื้นเมือง

ธุรกิจเครื่องปรุงรสชนิดผง   เป็นเครื่องปรุงที่มีพัฒนาการจากเครื่องแกงชนิดต่างๆ ที่มีอยู่ในตลาดมาเป็นเวลานาน โดยผ่านกรรมวิธีทำให้เป็นผงเพื่อให้สามารถคงรสชาดและเก็บรักษาไว้ได้นาน ง่ายต่อการขนส่ง อีกทั้งได้มีการคิดค้นผลิตภัณฑ์ชนิดผงทั้งเครื่องแกงและเครื่องปรุงรสอื่นๆ เข้ามาเสริมผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้อีกเป็นจำนวนมาก

ธุรกิจผัก/ผลไม้แผ่นกรอบ  เป็นการแปรรูปผัก ผลไม้ อีกวิธีการหนึ่งในฤดูกาลที่มีผลผลิตทางการเกษตรออกมาสู่ตลาดค่อนข้างมาก และผู้ประกอบการต้องการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตเหล่านั้น ผัก ผลไม้ที่นิยมนำมาผลิตเป็นแผ่นกรอบ เช่น กล้วย มันเทศ แตงกวา แครอท ฟักทอง มะละกอ ขนุนและทุเรียน

ธุรกิจไส้กรอกจากเนื้อสุกร  ไส้กรอก (sausage)หมายถึง เนื้อที่บดให้ละเอียดผสมกับเกลือ ในอดีตส่วนผสมของไส้กรอกถูกบรรจุในลำไส้ หรือ กระเพาะอาหารของสัตว์เพื่อทำให้มีรูปร่างเป็นรูปทรงกระบอก แต่เมื่อมีการผลิตไส้สังเคราะห์ขึ้นมาเพื่อใช้แทน ทำให้ไส้กรอกมีลักษณะทรงกระบอกคล้ายไส้กรอกจากธรรมชาติ                

ธุรกิจอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรส (กุ้งและปลาหมึก) ประเทศไทยเป็นประเทศที่สามารถจับสัตว์ทะเลได้เป็นจำนวนมากในแต่ละปี และมีการนำไปบริโภคในรูปแบบต่างๆ กัน ทั้งบริโภคสดและเข้าสู่อุตสาหกรรมผลิตแปรรูป อาทิ อาหารทะเลแช่แข็ง อาหารทะเลกระป๋อง ทำเค็มและอบแห้ง เป็นต้น ซึ่งการอบแห้งเป็นวิธีการถนอมอาหารที่ทำให้สามารถเก็บไว้ได้เป็นระยะเวลานาน

ธุรกิจข้าวเกรียบผัก-ผลไม้  ข้าวเกรียบเป็นอาหารที่หารับประทานได้ง่าย จึงมักนิยมนำมาเป็นขนมขบเคี้ยว ของทานเล่น ซึ่งสมัยนี้ไม่ได้จะมีแต่ข้าวเกรียบกุ้งอย่างเดียว มีการพัฒนาสูตรเป็นข้าวเกรียบจากวัตถุดิบอื่นๆ ทั้งเนื้อสัตว์ และ ผัก ผลไม้ เช่น เนื้อปลา ฟักทอง เป็นต้น การพัฒนาข้าวเกรียบที่ทำจากผัก ผลไม้ นอกจากจะเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ทานเนื้อสัตว์แล้ว ยังเป็นการส่งเสริมให้คนทานผักมากขึ้น

ข้าวพองปรุงรสอัดแท่ง (Rice Crispies)    ข้าวพอง คือ ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำข้าวเจ้า หรือ ข้าวเหนียวมาหุงให้สุก ฝึ่งแดดหรืออบให้แห้ง นำมาทอดหรือคั่วให้พอง คลุกกับส่วนผสมของน้ำ น้ำตาล และแบะแซที่เคี่ยวจนเหนียวพอเหมาะ อาจเติมสีผสมอาหาร หรือ ส่วนผสมอื่นๆ เช่น งาดำ แล้วนำมาอัดเป็นแผ่น ตัดเป็นชิ้นๆ

ธุรกิจผงต้มยำ   ต้มยำเป็นอาหารพื้นเมืองที่คนไทยคุ้นเคยกันดี เพราะมีในทุกภาค เป็นอาหารที่ชาวต่างชาตินิยมสั่งกันอยู่ไม่น้อย หนึ่งในเมนูต้มยำที่ดังไปทั่วโลก คือ ต้มยำกุ้ง ต้มยำถือเป็นอาหารที่ครบรส คือ เปรี้ยว เค็ม เผ็ด หวานเล็กน้อย ทำให้ไม่เลี่ยน ไม่ฝืดคอเวลากิน ต้มยำประกอบไปด้วยสมุนไพรหลายอย่าง เห็ด และเนื้อสัตว์

ธุรกิจขิงดอง  ขิงเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีคุณค่าและเป็นเครื่องเทศที่สำคัญของโลก ประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตขิงเพื่อการส่งออกเป็นมูลค่าเกือบพันล้าน และมูลค่าการส่งออกของพืชชนิดนี้เพิ่มขึ้นทุกปี ประเทศคู่ค้าที่สำคัญที่ส่งขิงไปจำหน่าย ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น และเนเธอแลนด์ ประเทศคู่แข่งทางการค้าที่สำคัญได้แก่ สหรัฐอเมริกา และ ประเทศจีน

ธุรกิจน้ำพริกเผา   เป็นผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมบริโภคที่ทำจากเครื่องเทศที่ผ่านการเผา คั่ว หรือทอด ได้แก่ พริกแห้ง หอม กระเทียม แล้วนำมาบดผสมให้เข้ากัน ปรุงแต่งรสด้วยเครื่องปรุงรส เช่น น้ำปลา เกลือบริโภค กะปิ น้ำตาล มะขามเปียก อาจมีเนื้อสัตว์ที่ผ่านการทำให้สุกโดยการอบ ต้ม เผา คั่ว หรือทอด บดผสมอยู่ด้วยหรือไม่ก็ได้ เช่น กุ้งแห้ง ปลาแห้ง ปลากรอบ

ธุรกิจอาหารทะเลตากแห้ง (กุ้งและปลาหมึก)   การอบ หรือ ตากแห้ง เป็นกรรมวิธีในการถนอมอาหารทะเลชนิดหนึ่ง ซึ่งทำให้สามารถเก็บอาหารทะเลไว้ได้นานขึ้นและเป็นที่นิยมบริโภคของคนไทยและประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะกุ้งแห้งและปลาหมึกแห้ง อาหารทะเลตากแห้งที่ผลิตได้ส่วนใหญ่จะบริโภคภายในประเทศ มีการส่งออกประมาณร้อยละ 17 ของผลผลิตทั้งหมด

ธุรกิจหัวผักกาดเค็มปรุงรส หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า "หัวไชโป๊ว"คือ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากหัวผักกาดขาว (หัวไชเท้า) ผ่านกรรมวิธีการทำเค็ม โดยหมักเกลือ อาจนำไปผึ่งแดดหรือไม่ก็ได้ การผลิตอาจใช้ทั้งหัวหรือทำเป็นชิ้นตามขนาดที่ต้องการ แล้วนำไปหมักกับน้ำตาลและเครื่องปรุงรสอื่น เช่น น้ำผึ้ง

ธุรกิจซูริมิและผลิตภัณฑ์จากซูริมิ ซูริมิ หมายถึง เนื้อปลาบดที่ผ่านการแยกก้างออกแล้วล้างด้วยน้ำเพื่อขจัดไขมันและองค์ประกอบที่ลำลายน้ำได้ซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่โปรตีน จากนั้นกำจัดบางส่วนออก ผลิตภัณฑ์ที่ได้อาจนำไปทำผลิตภัณฑ์ทันทีหรือผสมสารเจือปนอาหาร เช่น น้ำตาลฟอตเฟต แล้วเก็บไว้ในรูปผลิตภัณฑ์แช่เยือกแข็ง

ธุรกิจการทำข้าวกล้องงอก  เป็นนวัตกรรมหนึ่งที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากข้าวกล้อมีสารอาหารเป็นจำนวนมาก เช่น ใยอาหาร กรดไฟติก (Phyticacid)วิตามีนซี วิตามินอี และ GABA (Gamma Aminobutyric Acid) ซึ่งช่วยป้องกันโรคต่างๆ

ผลิตภัณฑ์ข้าวแกงทอดกึ่งสำเร็จรูป  เป็นอาหารในลักษณะแช่แข็ง เกิดขึ้นมาจากแนวคิดในการพัฒนาข้าวราดแกง ซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เนื่องจากมีส่วนผสมของสมุนไพรและเครื่องเทศหลายชนิดให้อยู่ในรูปแบบสากล สะดวกต่อการรับประทานและเก็บรักษาได้นาน

 

วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

 อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำนาแบบดังเดิม

มีดังต่อไปนี้




 คันไถ หรือ ไถ

ชื่อเครื่องมือ:คันไถ หรือ ไถ  
ชื่อท้องถิ่น:-  
ลักษณะของเครื่องมือ:       ไถ เป็นเครื่องมือที่ใช้ควายหรือวัวลากเพื่อพลิกหน้าดิน มีรูปร่างโค้งสูงเสมอเข่า ไถแต่ละท้องถิ่นอาจมีรูปร่างลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งไถที่ใช้กันทั่วไปจำแนกได้เป็น 2 ชนิด คือ ไถเดี่ยว (ใช้ควายไถตัวเดียว) และ ไถคู่ (ใช้วัวไถ 2 ตัว) โดยส่วนประกอบหลักของไถประกอบด้วย
  • คันไถ ทำจากไม้เนื้อแข็ง เป็นส่วนที่เป็นมือจับของไถ ใช้บังคับไถ มีลักษณะโค้งงอ รูปร่างและขนาดพอเหมาะแก่การจับถือและบังคับ มีลักษณะแตกต่างกันออกไปตามความนิยมของชาวบ้านแต่ละท้องถิ่น
  • หางยาม เป็นส่วนที่เสียบลงบนหัวหมู มีลักษณะโค้งงอ ใช้ประโยชน์ในการบังคับไถให้ทรงตัวหรือเคลื่อนไปในทิศทางที่ต้องการ
  • หัวหมู คือส่วนฐานของไถตอนหน้า มีรูปร่างคล้ายหัวหมู ช่องกลางเจาะรูสำหรับเสียบคันไถ โดยใช้ลิ่มไม้ตอกอัดไว้ ใช้ในการแทงดินให้เป็นร่องพลิกดินขึ้นมาเป็นขี้ไถ
  • แอก เป็นไม้ที่วางบนคอวัวหรือควาย มีขนาดโตราวท่อนแขน เจาะรูกึ่งกลางเพื่อร้อยเชือก ปลายทั้งสองข้างควั่นรอยลึกสำหรับผูกเชือก ให้ควายหรือวัวดึงไถไปข้างหน้า
การใช้ประโยชน์:การเตรียมดิน  
อธิบายการใช้ประโยชน์:      ใช้สำหรับไถพรวนดิน พลิกหน้าดินเพื่อเป็นการตากดิน และทำลายวัชพืชต่างๆ ซึ่งเป็นการเตรียมดินของชาวนาก่อนที่จะทำการหว่านกล้าหรือดำนา โดยวิธีการไถจะใช้วัวหรือควายเป็นตัวลากไถไปตามพื้นที่ที่ต้องการ




   แอก
ชื่อเครื่องมือ:แอก  
ชื่อท้องถิ่น:-  
ลักษณะของเครื่องมือ:      แอก เป็นเครื่องมือที่ทำมาจากท่อนไม้เนื้อแข็ง ที่มีความโค้งงอ แอกมี 2 ประเภท คือแอกวัวควายเดี่ยว กับแอกวัวควายคู่ แอกประกอบด้วยแม่แอก (ไม้คาน) และลูกแอก (ไม้หนีบคอวัว ควาย) แอกจะมีรูบนตัวแอกข้างละ 2 รู เพื่อใส่ไม้เหลากลมข้างละ 2 ซี่ สำหรับครอบลงบนคอควายหรือวัว  
การใช้ประโยชน์:การเตรียมดิน  
อธิบายการใช้ประโยชน์:      แอก ใช้ในการสวมคอวัวหรือควายเพื่อลากไถ คราด หรือเกวียน ซึ่งจะสามารถกำหนดทิศทางเดินของวัว หรือควายไม่ให้ออกนอกเส้นทาง และไปในทิศทางที่เราต้องการ นอกจากนี้ยังเป็นคันแรงที่วัว หรือควายจะลากไถหรือคราด แอกสามารถใช้งานได้ ประมาณ 5-10 ปี




 คราด

ชื่อเครื่องมือ:คราด  
ชื่อท้องถิ่น:เฝือ  
ลักษณะของเครื่องมือ:      คราด มีรูปทรงสี่เหลี่ยม มีซี่คล้ายๆ หวี ทำจากไม้เนื้อแข็ง ขนาดของคราดจะขึ้นอยู่กับพาหนะในการลาก หากใช้กับวัวก็จะมีขนาดเล็กกว่าควาย คราดประกอบด้วย
  • แม่คราด ทำจากไม้เนื้อแข็งมีความหนาประมาณ 2-4 นิ้วหน้ากว้างประมาณ 15-25 เซนติเมตร ยาวประมาณ 2-4 เมตร แม่คราดจะเจาะรูไว้สำหรับตอกลูกคราดและมือคราด
  • ลูกคราด ที่มีลักษณะปลายแหลมเป็นซี่ๆ เหมือนหวี ยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ใช้ตอกลงไปที่แม่คราดให้แน่น
  • มือคราด คือ ส่วนที่จับถือคราด ใช้ตอกลงไปที่รูของแม่คราดที่เตรียมไว้ให้แน่นเพื่อใช้เป็นที่จับเวลาลาก
  • คันคราด เป็นส่วนที่ยาวออกไปด้านหน้าต่อจากแม่คราดเพื่อให้วัวหรือควายลาก
การใช้ประโยชน์:การเตรียมดิน  
อธิบายการใช้ประโยชน์:      คราด เป็นเครื่องมือสำหรับคราดผิวดินในนาที่ผ่านการไถเรียบร้อยแล้ว เพื่อกำจัดหญ้า วัชพืชต่างๆออกจากดินและย่อยดิน ปรับดินให้เรียบสม่ำเสมอกัน ซึ่งเป็นขั้นตอนในการเตรียมดินก่อน หว่าน หรือปักดำข้าว โดยใช้วัวหรือควายลากคราดในพื้นที่ที่ต้องการแล้วใช้แรงกดคราดลงไปในดิน ลูกคราดก็จะทำหน้าที่ครูดดินและวัชพืชต่างๆ ถ้าหากต้องการให้คราดครูดดินลึกก็ให้ใช้มือกดหรือเท้าเหยียบที่แม่คราดแล้วกดลงตามที่ต้องการได้





     ขุบ


ชื่อเครื่องมือ:ขุบ  
ชื่อท้องถิ่น:อีทุบ  
ลักษณะของเครื่องมือ:      ขุบ ทำมาจากท่อนไม้เนื้อแข็ง ที่มีขนาดความยาวประมาณ 2 เมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 25 เซนติเมตร การทำจะใช้ขวานถาก ไม้ให้เป็นเฟือง 7 เฟือง ที่ปลายท่อนขุบทั้งสองด้าน จะทำเป็นเดือยกลม ๆ ไว้ เพื่อเป็นเพลาสอดกับไม้ ที่เจาะรูไว้สำหรับใส่เดือย ตีไม้ยึดหรือทำเดือยใส่ไม้ตั้ง หรือลูกตั้งนั้น ทำไม้คานยาว ๆ สองท่อนยึดกับตัวขุบ แล้วใช้ควายหรือวัวลาก เพื่อใช้งานเรียกว่า ตีขุบ  
การใช้ประโยชน์:การเตรียมดิน  
อธิบายการใช้ประโยชน์:      ขุบ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการย่อยดิน และบดทับวัชพืชให้จมในดิน ซึ่งเป็นการเตรียมดินก่อนปลูกข้าว ของชาวนาโดยมากมักใช้ขุบในแปลงนาที่พึ่งถางใหม่ๆ ที่มีตอไม้ และหญ้าขึ้นอยู่มากๆ โดยชาวนาจะใช้วัว หรือควายในการลากขุบ ซึ่งเฟืองจะทำหน้าที่ย่อยดินในเวลาขุบหมุน โดยขุบจะหมุนตีดินไปเรื่อยๆ จนกว่าดินเหลวได้ที่เหมาะสำหรับเพาะปลูกข้าวได้





       จอบ


ชื่อเครื่องมือ:จอบ  
ชื่อท้องถิ่น:ขอบก ขอจก ขอเชา  
ลักษณะของเครื่องมือ:      จอบ ใช้สำหรับการ ขุดดิน พรวนดิน หรือดายหญ้า มี 2 ส่วน คือ ตัวจอบและด้ามจอบ ตัวจอบทำมาจากเหล็ก หน้าแบน มีรูบ้องสำหรับใส่ด้าม ส่วนด้ามจะทำจากเหล็กหรือไม้ก็ได้ แต่ด้ามที่ทำมาจากเหล็กจะใช้งานได้นานกว่าด้ามที่ทำจากไม้ ซึ่งมีความยาวประมาณ 100-120 เซนติเมตร  
การใช้ประโยชน์:การเตรียมดิน  
อธิบายการใช้ประโยชน์:      จอบ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการขุดดิน พรวนดิน หรือดายหญ้าได้ ซึ่งหากจอบมีความคมมากก็จะสามารถใช้งานได้สะดวกและเร็วขึ้น การใช้ก็สามารถใช้จอบขุด พรวนดิน หรือดายหญ้าตามที่เราต้องการได้ จอบสามารถนำมาใช้งานได้ตลอดทั้งปี  





    ระหัด


ชื่อเครื่องมือ:ระหัด  
ชื่อท้องถิ่น:ภาคเหนือเรียกว่า หลุก ภาคอีสานเรียกว่า กงพัด  
ลักษณะของเครื่องมือ:      ระหัด ทำด้วยไม้ มีโครงสร้างสี่เหลี่ยมยาว มีลักษณะเป็นรางน้ำทำจากไม้ ใช้มือหมุนหรือใช้ถีบด้วยเท้า ระหัดวิดน้ำอาจมีขนาดสั้นและยาวตามความต้องการของผู้ใช้ และมักทำด้วยไม้สัก ภายในโครงมีรางและลูกระหัดซึ่งเป็นใบพัดฉุดให้น้ำไหลไปตามราง ระหัดประกอบด้วย รางน้ำ ใบระหัด เพลา และมือหมุน  
การใช้ประโยชน์:การปลูก/ระหว่างการเจริญเติบโต  
อธิบายการใช้ประโยชน์:      ระหัด เป็นเครื่องมือชักน้ำหรือวิดน้ำเข้าแปลงนา การใช้ระหัดวิดน้ำมีความสำคัญต่อการทำนาในสมัยก่อนมาก เพราะเมื่อฝนตกชุกน้ำในแม่น้ำลำคลองจะมีระดับสูงขึ้น หากแปลงนาซึ่งทำคันนากั้นไว้ไม่สามารถกักเก็บน้ำได้มากพอสำหรับการเพาะปลูกแล้ว ชาวนาจะใช้ชงโลงหรือระหัดในการวิดน้ำเข้าแปลงนา

      วิธีการใช้ระหัดวิดน้ำจะต้องวางปลายรางระหัดลงไปในน้ำที่จะวิดเข้าสู่แปลงนา ให้ด้านหัวรางอยู่บนที่ซึ่งจะนำน้ำเข้าสู่แปลงนา อาจมีรางรับน้ำต่อไปยังที่ที่ต้องการน้ำเข้าอีกทอดหนึ่ง ต้องวางรางระหัดไม่ให้ตั้งชันมากเกินไปจึงจะวิดน้ำได้ดี ในสมัยโบราณจะใช้แรงคนถีบหรือมือหมุนหรือแรงจากกังหันลม
 





     ไม้หาบกล้า /คานหลาว


ชื่อเครื่องมือ:ไม้หาบกล้า /คานหลาว  
ชื่อท้องถิ่น:-  
ลักษณะของเครื่องมือ:      ไม้หาบกล้า หรือคันหลาว เป็นเครื่องมือที่นิยมทำมาจากไม้ไผ่ มีความยาวประมาณ 2 เมตร บริเวณหัวและท้ายไม้คานถูกหลาวเสี้ยมให้ปลายแหลม เพื่อใช้แทงกำกล้า หรือ ฟ่อนข้าว โดยชาวบ้านจะนำไม้ไผ่ผึ่งแดดให้แห้งเหลาไม้ไผ่ให้เรียบไม่มีเสี้ยน จากนั้นจะใช้มีดเสี้ยมปลายไม้ไผ่ทั้งสองข้าง ตรงส่วนล่างที่ตอกมัดข้าว หรือบางแห่งใช้ต้นข้าว มัดขมวดไว้ไม่ให้หลุด ซึ่งเรียกว่า เขน็ดข้าว  
การใช้ประโยชน์:การปลูก/ระหว่างการเจริญเติบโต  
อธิบายการใช้ประโยชน์:      เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับหาบต้นกล้าเพื่อนำไปปักดำ หรือใช้หาบฟ่อนข้าวไปที่กองข้าวเพื่อจะใช้เกวียนหรือรถบรรทุกฟ่อนข้าวไปลานนวด โดยวิธีการใช้ให้นำคานหลาวเสียบตรงกลางกำกล้า หรือฟ่อนข้าวเพื่อใช้หาบ ซึ่งถ้าหากใช้กระบุงจะหาบได้ครั้งละไม่กี่ฟ่อน การใช้ไม้คานหลาวจึงมีความเหมาะสมมากกว่าเพราะสามารถหาบได้ทีละหลายๆ ฟ่อน





    ชงโลง


ชื่อเครื่องมือ:ชงโลง  
ชื่อท้องถิ่น:คันโซ้ หรือ โซงโลง ภาคอีสานเรียกว่ากระโซ้ ภาคใต้เรียกว่า โพง ภาคเหนือเรียกว่า กระโจ้  
ลักษณะของเครื่องมือ:       ชงโลง มีลักษณะคล้ายเรือครึ่งท่อน แต่ขนาดเล็กกว่ามาก มีด้ามยาว 1-2 เมตร ทำมาจากวัสดุได้หลากหลาย คือไม้ไผ่ เหล็ก หรือสังกะสี แต่ถ้าทำมาจากไม้ไผ่ ชาวบ้าวจะนำไม้ไผ่มาทำเป็นตอก แล้วจักสานเป็นลาย แล้วทาน้ำมันยาง ซึ่งจะทำให้สามารถใช้งานได้ 2-3 ปี ที่ปลายขอบจะเหลาไม้ไผ่หนา ประมาณครึ่งเซนติเมตร แล้วใช้ไม้ไผ่ประกบตอก ที่สานในส่วนปลายขอบ เพื่อให้มีความคงทนถาวรไม่หลุดลุ่ยได้ง่าย ไม้ไผ่ที่ใช้สำหรับประกบนั้น จะมัดด้วยหวาย จากนั้นก็นำด้ามมาติด ในส่วนตรงปากของชงโลง เวลาโพงน้ำหรือวิดน้ำจะจับด้ามชงโลง ตักน้ำสาดไปข้างหน้า  
การใช้ประโยชน์:การปลูก/ระหว่างการเจริญเติบโต  
อธิบายการใช้ประโยชน์:      ชงโลง เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิด หรือโพงน้ำเข้านา หรือวิดน้ำในนาให้งวด เพื่อไม่ให้ต้นข้าวหรือต้นกล้าจมน้ำตาย การใช้ชงโลงให้ใช้มือหนึ่งจับด้ามเหนือตัว มืออีกข้างหนึ่งจับด้ามชงโลงด้ามปลาย แล้วใช้ปากชงโลงตักลงไปในน้ำ วิดส่งน้ำไปตามทิศทางที่ต้องการ





        เคียว


ชื่อเครื่องมือ:เคียว  
ชื่อท้องถิ่น:ภาคใต้ เรียกว่า เดียว  
ลักษณะของเครื่องมือ:      เคียว มีใช้ในทุกภาค แต่ลักษณะอาจแตกต่างกันออกไปในแต่ละท้องถิ่น โดยทั่วไปเคียวจะทำด้วยเหล็ก มีด้ามจับสำหรับถือ ใบเคียวแบนเรียวโค้งคล้ายตะขอ หรือวงเดือนเสี้ยวมีคมอยู่ด้านใน ด้ามเคียวอาจเป็นเหล็กหรือเป็นไม้ก็ได้ มีขนาดเล็กและขนาดใหญ่ตามกำลังของผู้ใช้ ซึ่งเคียวที่ใช้กันทั่วไปมี 2 ชนิด คือ เคียวนาสวน เป็นเคียววงกว้าง ใช้เกี่ยวทั้งข้าวนาสวนและข้าวนาเมือง และ เคียวนาเมือง เป็นเคียววงแคบ ใช้เกี่ยวได้เฉพาะข้าวนาเมือง เคียวมีหลายลักษณะเช่น
  • เคียวกระสา รูปเคียวโค้งเป็นวงกว้างเหมือนคอนกกระสา
  • เคียวกระยาง รูปเคียวโค้งเป็นวงแคบกว่าเคียวกระสา เหมือนคอนกกระยาง
  • เคียวงู ปลายเคียวเหมือนหัวงู วงเคียวแคบกว่าเคียวกระยาง มีคอคอดตรงคอ
  • เคียวขอ บางทีเรียกว่ากรูด จะใช้กิ่งไม้เนื้อแข็งถากและเหลาให้เรียบ ให้ส่วนที่เป็นขอมีความโค้งเป็นวงกว้างมาก เสี้ยมปลายให้แหลม
การใช้ประโยชน์:การเก็บเกี่ยว  
อธิบายการใช้ประโยชน์:      เคียว เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับเก็บเกี่ยวพืชผลประเภทข้าว หญ้า และธัญพืช โดยชาวนาจะใช้เคียวเกี่ยวไปที่ฐานของต้นข้าวแล้วทำการกระตุกคมเคียวบาดจนขาด ส่วนมืออีกข้างใช้กำรวงข้าวที่ต้องการเกี่ยว โดยนำข้าวที่ตัดแล้วรวมไว้เป็นกองไว้ เคียวแบบด้ามสั้นอาจทำให้เกิดอาการปวดหลังเมื่อใช้เป็นระยะเวลานานเนื่องจากต้องยืนก้มอยู่ตลอด จึงมีเครื่องมืออีกอย่างหนึ่งคือเคียวด้ามยาวซึ่งมีด้ามจับยาวกว่าและไม่ต้องก้มให้ปวดหลัง




   

     แกระ/แกะ


ชื่อเครื่องมือ:แกระ/แกะ  
ชื่อท้องถิ่น:ภาคเหนือ เรียกว่า หวู  
ลักษณะของเครื่องมือ:      เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเกี่ยวข้าวของภาคใต้ ทำมาจากเหล็กและไม้ ซึ่งมีส่วนประกอบ 3 ส่วน คือ
  1. ตาแกระหรือคมแกระ ทำด้วยเหล็ก มีลักษณะเป็นใบมีดยาวประมาณ 5-6 เซนติเมตรฝังอยู่ในกระดานแกระหรือตัวแกระ
  2. กระดานแกระ หรือตัวแกระ ทำด้วยไม้บางๆ รูปสี่เหลี่ยมคางหมู ด้านแคบฝังแผ่นเหล็กมีคมเหมือนใบมีดเพื่อใช้ตัดรวงข้าว
  3. ด้ามแกระ ทำด้วยปล้องไม้ไผ่ขนาดเท่านิ้วมือ เสียบขวางกับกระดานแกระตามรอยที่เจาะไว้
การใช้ประโยชน์:การเก็บเกี่ยว  
อธิบายการใช้ประโยชน์:      แกระ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเกี่ยวข้าว เหมาะสำหรับพันธุ์ข้าวที่คอรวงยาว การใช้แกระเกี่ยวข้าว ทำให้สามารถการเลือกเกี่ยวเฉพาะต้น หรือเฉพาะรวงข้าวได้ โดยชาวนาจะจับแกระไว้ในอุ้งมือ จากนั้นดึงรวงข้าว ให้ทาบกับคมแกระ กระตุกคมแกระบาดรวงข้าวจนขาด และมืออีกข้าง ใช้กำรวงข้าวที่ตัดแล้ว แกระใช้ตัดรวงข้าวทีละรวง และนำมารวมกันไว้เป็นกองๆ สำหรับมัดเป็นฟ่อนต่อไป การเกี่ยวข้าวด้วยแกระ อาจจะช้ากว่าเคียว แต่สามารถเกี่ยวรวงข้าว ได้หมดดีกว่าเคียว




  กระด้ง


ชื่อเครื่องมือ:กระด้ง  
ชื่อท้องถิ่น:ภาคเหนือเรียกว่า ด้ง  
ลักษณะของเครื่องมือ:      กระด้ง ทำมาจากไม้ไผ่โดยการทำเป็นตอกแล้วเอามาจักสาน ลักษณะแบนกลม มีขอบสูงขึ้นมาเล็กน้อย เรียกว่า ขอบกระด้ง มีหลากหลายขนาดขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้ กระด้งนอกจากจะใช้แยกเปลือกกับเมล็ดแล้วยังสามารถใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้อีก เช่น ใช้ตากปลา ใช้รองสำรับข้าว หรืออื่นๆ ตามแต่ผู้ใช้จะนำไปใช้  
การใช้ประโยชน์:หลังการเก็บเกี่ยว และเก็บรักษา  
อธิบายการใช้ประโยชน์:      กระด้ง เป็นภาชนะใช้สำหรับฝัดข้าวเพื่อแยกเอาเศษผงฝุ่น แกลบ ออกจากเมล็ดข้าว หรือเมล็ดพันธุ์ชนิดอื่นที่มีเปลือก ซึ่งเป็นการคัดแยกระหว่างข้าว หรือเมล็ด และเปลือกออกจากกัน โดยชาวนาจะนำข้าวที่ตำแล้ว วางใส่ไว้ในกระด้งและทำการฝัดโดยใช้มือทั้งสองข้างจับขอบปากกระด้ง แล้วทำการร่อน โดยให้กระด้งขึ้นลงเพื่อฟัดเศษหรือเปลือกข้าวก็จะปลิวตามแรงลม เนื่องจากน้ำหนักเบามาก จะได้เมล็ดที่มีน้ำหนักหล่นที่กระด้ง




       กระบุง


ชื่อเครื่องมือ:กระบุง  
ชื่อท้องถิ่น:ภาคเหนือเรียกว่า บุง หรือ เพียด  
ลักษณะของเครื่องมือ:       กระบุง เป็นภาชนะที่จักสานด้วยไม้ไผ่เป็นลวดลายต่างๆ ใช้สำหรับใส่ข้าว ข้าวโพด ถั่วงา ใช้ตวงหรือโกย และใส่ของอื่นๆ ปากมีลักษณะเป็นรูปทรงกลมกว้างประมาณ 30-40 เซนติเมตร ก้นมีรูปทรงสี่เหลี่ยม และมีหูห้อยตรงปากกระบุง 2 ข้างเอาไว้สำหรับร้อยเชือกเพื่อใช้หาบ หรือหิ้ว ขนาดของกระบุงโดยทั่วไปแล้วจะมีอยู่ สามขนาด รูปทรงจะแตกต่างกันออกไปตามลักษณะของการใช้งาน กระบุงขนาดใหญ่มีหูร้อยเชือกเพื่อใช้หาบ ขนาดกลางใช้ในการตวงหรือโกย และกระบุงขนาดเล็กจะใช้สำหรับงานเบ็ดเตล็ดทั่วๆ ไป  
การใช้ประโยชน์:หลังการเก็บเกี่ยว และเก็บรักษา  
อธิบายการใช้ประโยชน์:      กระบุง เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับตักตวงหรือโกย ข้าว เมล็ดพืช และใส่สิ่งของอื่นๆ ทั้งนี้การใช้ขึ้นอยู่กับขนาดของกระบุงด้วย ซึ่งหากเป็นกระบุงขนาดใหญ่จะใช้สำหรับในการหาบข้าว หรือเมล็ดพืชต่างๆ ถ้าเป็นขนาดกลางจะใช้สำหรับในการตวง หรือโกยข้าว แต่ถ้าหากเป็นกระบุงขนาดเล็กจะนิยมมาใส่ของเบ็ดเตล็ด กระบุงสามารถใช้งานได้ประมาณ 2-4 ปี และนิยมทำกันในท้องถิ่น





    ครกกระเดื่อง

ชื่อเครื่องมือ:ครกกระเดื่อง  
ชื่อท้องถิ่น:ภาคเหนือและภาคอีสานเรียกว่า ครกมอง ภาคใต้เรียกว่า ครกถีบ หรือครกเหยียบ หรือครกเดื้อง  
ลักษณะของเครื่องมือ:      เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับตำข้าว ที่ชาวบ้านนิยมใช้ในอดีต เพราะทุ่นแรงได้มากกว่า การตำด้วยมือ ครกกระเดื่องมีรูปร่างคล้ายกระดานหก ที่นับได้ว่าเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านอย่างหนึ่ง เพราะผู้ทำต้องคำนึงถึงจุดหมุน และน้ำหนักของสากที่สมดุลกันด้วย ครกกระเดื่องมีส่วนประกอบสำคัญ 4 ส่วนคือ “ตัวครก” ทำมาจากขอนไม้เนื้อแข็ง ทนต่อแรงกระแทก มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 50-100 เซนติเมตร สูงประมาณ 50-60 เซนติเมตร ขุดตรงกลางเป็นเบ้าลึกลงไป เพื่อให้สามารถใส่เมล็ดข้าวได้ “คันกระเดื่อง” ทำด้วยไม้ท่อนตรง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-4 นิ้ว ยาวประมาณ 3-4 เมตร ทำหน้าที่เป็นไม้กระดกตำ ปลายด้านหนึ่งเจาะเป็นรูสำหรับเสียบสาก ปลายอีกด้านวัดเข้ามาประมาณ 2 ฟุต เจาะรูให้ทะลุ สำหรับสอดคานขวางคันกระเดื่อง “เสา” มี 2 ต้น ทำด้วยไม้เนื้อแข็งฝังลงในดินตั้ง เป็นคู่ในแนวเดียวกัน เจาะรูเสาแต่ละต้นเหนือระดับพื้นดิน เพื่อสอดคานขวางคันกระเดื่อง เป็นจุดหมุนเพื่อการกระดก “สาก” ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง เกลาให้กลม ขนาดพอเหมาะกับคันกระเดื่อง และตัวครก เสียบเข้าที่ปลายคันกระเดื่อง ด้านที่เจาะรูไว้  
การใช้ประโยชน์:หลังการเก็บเกี่ยว และเก็บรักษา  
อธิบายการใช้ประโยชน์:      ใช้สำหรับใช้ตำข้าวเปลือกมาเป็นข้าวสาร โดยผู้ตำจะขุดหลุมตื้นๆ บริเวณปลายคันกระเดื่อง ด้านที่ใช้เท้าเหยียบไว้ เมื่อเหยียบที่โคนของคันกระเดื่อง กดลงในหลุม ปลายอีกด้านของคันกระเดื่องก็จะยกตัวขึ้น ทำให้สากซึ่งติดอยู่ ลอยสูงขึ้นไปด้วย เมื่อผู้ตำปล่อยเท้า สากก็จะตกไปตำเมล็ดข้าวเปลือก ที่อยู่ในครก การตำข้าวด้วยครกกระเดื่องนี้จะต้องมีผู้ช่วยอีกคนหนึ่ง คอยช่วยตะล่อมให้ข้าวรวมกันอยู่ตรงกลาง หรือก้นหลุมครกเพื่อให้สากตำข้าวได้ทั่วถึง




     ครกมือ


ชื่อเครื่องมือ:ครกมือ  
ชื่อท้องถิ่น:ครกตำข้าว  
ลักษณะของเครื่องมือ:      ครกมือ ทำจากไม้ใช้สำหรับตำ ครกมือมีส่วนประกอบ 2 ส่วน คือ ตัวครก และสากสำหรับตำ ตัวครกทำมาจากท่อนไม้ที่มีเนื้อแข็ง เช่น ไม้ประดู่ ไม้แดง ไม้เต็ง เป็นต้น แล้วตัดส่วนหัวและส่วนท้ายให้ผิวเรียบเสมอกัน เพื่อเวลานำครกตั้งไว้จะได้ไม่กระดกเอียงไปมา จากนั้นก็จะทำการเจาะส่วนตรงกลางด้านบนของท่อนไม้ให้เว้าลึกลงไปเหมือนครกหิน โดยใช้ขวานโยนฟันและค่อยตกแต่งไปเรื่อยๆ จนปากครกกว้าง ก้นครกลึกสอบเข้าเป็นหลุมลึกประมาณ 50 เซนติเมตร เมื่อทำครกเสร็จจึงทำสากโดยใช้ไม้ท่อนเดียว ยาวประมาณ 1.5- 2 เมตร เหลาปลายกลมทั้งสองข้าง ส่วนกลางเหลาเว้าให้คอดกิ่วตรงกลาง เพื่อเป็นมือจับปลายสากที่ใช้สำหรับตำข้าว  
การใช้ประโยชน์:หลังการเก็บเกี่ยว และเก็บรักษา  
อธิบายการใช้ประโยชน์:      ครกมือ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการตำข้าวเปลือก ขั้นแรกให้นำข้าวเปลือกที่ต้องการใส่ลงไปในครกพอประมาณ หลังจากนั้นผู้ที่ทำหน้าที่ตำข้าวจะยืนข้างๆ ครก ใช้มือทั้ง 2 ข้างจับที่กึ่งกลางสาก ยกสากขึ้นแล้วทิ่มลงไปในครก ให้สากไปกระแทกข้าวเปลือก ทำเช่นนี้เรื่อยไปจนกว่าเปลือกข้าวจะหลุดออกหมด





   ครุ


ชื่อเครื่องมือ:ครุ  
ชื่อท้องถิ่น:แอ่ว  
ลักษณะของเครื่องมือ:      ครุ ทำด้วยไม้ไผ่ มีรูปร่างคล้ายกระจาดขนาดใหญ่ รูปทรงกระบอก ปากกลม ก้นสอบ ปากมีความกว้างประมาณ 2 -3 เมตร ส่วนก้นกว้างประมาณ 1-1.5 เมตร สูงประมาณ 1 เมตร ในการสานครุชาวบ้าน จะนำส่วนผิวของไม้ไผ่ มาจักให้เป็นตอกที่มีความกว้างประมาณ 1 นิ้วก่อน หลังจากนั้นก็จะนำมาสาน ให้เข้ารูปตามต้องการแล้วนำไปรมควันไฟ เพื่อให้ตอกอ่อน แล้วนำไปวางไว้ในหลุมที่ขุดไว้ เพื่อเป็นแม่พิมพ์ในการสาน แล้วขึ้นไปเหยียบ ให้บริเวณศูนย์กลางนูนขึ้นมาจึงเริ่มสานจากตรงกลางก่อน ในการสานใช้คนประมาณ 4-5 คน เมื่อสานเสร็จแล้วจะต้องเข้าขอบผูกหวาย ให้ขอบแน่นและคงทน จากนั้นจึงนำครุไปรมควันไฟกันมอด ก่อนนำไปใช้  
การใช้ประโยชน์:หลังการเก็บเกี่ยว และเก็บรักษา  
อธิบายการใช้ประโยชน์:      ครุ เป็นภาชนะใช้รองรับข้าวเปลือกจากการนวดข้าว ชาวนาจะใช้ไม้หนีบข้าว ซึ่งทำด้วยไม้ไผ่ สองท่อน ยาวประมาณ 1 ศอก หนีบรวงข้าวที่มัดไว้เป็นกำเล็กๆ แล้วใช้ฟาดข้าวลงบนครุ ซึ่งจะใช้คนตี 2-3 คน การตีครุจะได้ข้าวเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ตกหล่นเหมือนกับการนวดข้าวด้วยวิธีอื่น หลังจากใช้งานเสร็จแล้ว การเก็บครุจะวางหรือแขวนครุให้ปากครุคว่ำลง เพื่อรักษารูปทรงของครุไว้  





   ม้ารองนวดข้าว


ชื่อเครื่องมือ:ม้ารองนวดข้าว  
ชื่อท้องถิ่น:ไม้รองตีข้าว  
ลักษณะของเครื่องมือ:      เป็นแผ่นกระดานยาวประมาณ 2 ศอก มีขา 2 ขา ตั้งเอียงเล็กน้อยเพื่อรับฟ่อนข้าวขณะทำการตี หรือฟาดข้าว ในขั้นตอนการนวดข้าว  
การใช้ประโยชน์:หลังการเก็บเกี่ยว และเก็บรักษา  
อธิบายการใช้ประโยชน์:      ใช้สำหรับรองรับฟ่อนข้าว ในขณะที่ตี หรือฟาดข้าว เพื่อให้เมล็ดข้าวหลุดร่วงลงบนพื้นลาน หลังจากทำการตีไปสักระยะหนึ่งจนเมล็ดข้าวร่วงหล่นเป็นกองสูง ชาวนาจะตี หรือฟาดข้าวลงบนกองข้าวโดยตรงไม่ต้องใช้ม้ารองนวดข้าว





  ไม้หนีบข้าว


ชื่อเครื่องมือ:ไม้หนีบข้าว  
ชื่อท้องถิ่น:ไม้ตีข้าว ไม้ฟาดข้าว ภาคอีสานเรียกว่า ค้อนฟาดข้าว หรือไม้ตีหัว ภาคเหนือเรียกว่า ไม้หีบ หรือไม้ตาหีบ  
ลักษณะของเครื่องมือ:      ใช้สำหรับหนีบ หรือคีบฟ่อนข้าว ทำจากไม้เนื้อแข็ง หรือไม้ไผ่ มี 2 ท่อน ยาวประมาณ 50-100 เซนติเมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 เซนติเมตร มีเชือกโยงทั้ง 2 ท่อนเข้าด้วยกัน การทำไม้หนีบข้าวจะต้องทำการเหลาไม้ให้กลมก่อน โดยที่ด้านปลายจะเหลาให้เรียวเล็กกว่าด้านโคนเล็กน้อย และด้านปลายของไม้ทั้งสองท่อน จะบากให้เป็นหยักหรือเดือย สำหรับผูกเชือกไม่ให้หลุดง่าย โดยไม้ท่อนหนึ่งจะบากให้ห่างจากปลายประมาณ 15 เซนติเมตร อีกท่อนหนึ่งบากให้ห่างจากปลายประมาณ 3-5 เซนติเมตร แล้วใช้เชือกที่มีความยาวประมาณ 30-40 เซนติเมตร ผูกที่ปลายไม้ทั้งสองให้ติดกัน สำหรับรัดฟ่อนข้าว  
การใช้ประโยชน์:หลังการเก็บเกี่ยว และเก็บรักษา  
อธิบายการใช้ประโยชน์:      ใช้สำหรับการนวดข้าว วิธีการใช้ ให้จับที่ไม้หนีบข้าวด้วยมือข้างละท่อน แล้วใช้เชือกที่ปลายไม้ รัดฟ่อนข้าวให้อยู่ระหว่างเชือก ให้ปลายไม้ขัดกันจนเชือกรัดฟ่อนข้าวแน่น จากนั้นยกฟ่อนข้าว ฟาดขึ้น-ลง บนแผ่นไม้รองตีข้าว หรือบนกองข้าว จนเมล็ดข้าวหลุดจากรวงหมด ไม้หนีบสามารถใช้ได้นานประมาณ 2-5 ปี หรือมากกว่านี้  




   เกวียน


ชื่อเครื่องมือ:เกวียน  
ชื่อท้องถิ่น:กระแทะ  
ลักษณะของเครื่องมือ:      เกวียน เป็นยานพาหนะชนิดหนึ่ง แต่ละท้องถิ่นจะมีรูปร่าง และขนาดที่แตกต่างกันไป เกวียนทำจากไม้เนื้อแข็ง มีล้อ 2 ล้อ และตัวเรือนมีลักษณะ เป็นแคร่สี่เหลี่ยมผืนผ้า สำหรับบรรทุกสิ่งของหรือคน โดยจะยกขอบด้านข้างทั้ง 2 ข้างสูง ใช้ไม้กระดานปูพื้น บ้างก็มีประทุนครอบกันแดดฝน ให้แก่ผู้ขับและผู้โดยสารหรือสิ่งของที่บรรทุก เกวียนมี 2 แบบคือ เกวียนเดี่ยว (ใช้วัวหรือควายตัวเดียว) กับเกวียนคู่ (ใช้วัวหรือควาย 2 ตัว ) การทำเกวียนทำโดยไม่ต้องใช้ตะปู ใช้วิธีการขัดกันและเชือกผูกเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีแอกซึ่งก็คือ ไม้ที่ใช้พาดคอสัตว์เพื่อเทียมเกวียน มีสายรั้งคอสัตว์เพื่อป้องกันเชือก ที่ผูกคอสัตว์ไม่ให้หลุดจากปลายแอก  
การใช้ประโยชน์:หลังการเก็บเกี่ยว และเก็บรักษา  
อธิบายการใช้ประโยชน์:      เกวียน เป็นยานพาหนะชนิดหนึ่ง ที่มีความสำคัญกับเกษตรกรไทย สมัยก่อนมาก ใช้ขนส่งทั้งก่อนและหลังเก็บเกี่ยว โดยใช้ควายหรือวัวลาก การบังคับวัวหรือควายเทียมเกวียน จะใช้วิธีเจาะจมูกร้อยสายตะพายโยง ไปที่ผู้ขับบนเกวียนถือสำหรับบังคับให้วัว หรือควายหยุดเดินหรือเลี้ยว ในการบังคับวัวหรือควายนั้น มีภาษาชาวนาหรือชาวเกวียนที่ใช้กับวัวหรือควายอยู่ 2 - 3 คำคือคำว่า "ทูน" แปลว่า ชิดข้างใน "ถัด" แปลว่าชิดข้างนอก "ยอ" แปลว่า หยุด เป็นต้น



อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำนาแบบสมัยใหม่

มีดังต่อไปนี้

1.  เครื่องมือในการเตรียมดิน


รถไถนา ใช้ทั้งเตรียมดินนาหว่าน นาดำ และคราด



รถแทรคเตอร์ เครื่องเตรียมดิน ทำนา ทำสวน ทำไร่หรือหักร้างถางพง




เครื่องปักดำ ใช้แทนการปักดำด้วยแรงงานคน เครื่องมือชนิดนี้ยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก




เครื่องสูบน้ำ ใช้สูบน้ำเข้านาโดยใช้เครื่องยนต์หรือไฟฟ้าเป็นแรงหมุนมอเตอร์สูบ จากแม่น้ำ คลองชลประทานเข้ามาใช้ในนา



2. เครื่องมือเกี่ยวข้าว


รถเกี่ยวข้าวและนวดข้าว ใช้สำหรับเกี่ยวและนวดข้าวไปพร้อมๆ กันเป็นรถแบบตีนตะขาบวิ่งได้ในนาที่มีพื้นที่เรียบ





เครื่องนวดข้าว ใช้เครื่องยนต์ในการนวดข้าวให้ย่อยจากรวงเป็นเมล็ดข้าวเปลือก เมื่อต้องการนวดข้าวก็เอาเครื่องยนต์จากรถไถนาเดิมมาหมุนตามเครื่องนวดและ สามารถใช้กระสอบ หรือผืนผ้าใบมารองรับเมล็ดจากเครื่อง



3. เครื่องมือในการแปรรูปข้าว



เครื่องสีข้าว ใช้สำหรับสีข้าวเปลือกให้เป็นข้าวสาร ออกมาเป็นแกลบและรำ





อุปกรณ์ที่ใช้ในการปลูกพืชผักและตกแต่งสวน

มีดังต่อไปนี้


     1.  ช้อนและส้อมพรวน



  ช้อนและส้อมพรวน

        ใช้ในการพรวนดิน เหมาะกับดินที่ร่วนซุย เนื่องจากส้อมพรวนไม่ใช่อุปกรณ์เกษตรประเภทใช้งานหนัก เมื่อใช้แล้วควรล้างทำความสะอาด เช็ดให้แห้งแล้วทาด้วยน้ำมันเพื่อกันสนิม





      2.  เสียม


เสียม

         ใช้ในการขุดหลุมเตรียมเพื่อปลูกต้นไม้ เหมาะในการขุดหลุมขนาดเล็ก เมื่อใช้แล้วควรล้างทำความสะอาด เช็ดให้แห้งแล้วทาด้วยน้ำมันเพื่อกันสนิม เก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย



    3.  พลั่ว



   พลั่ว

      ใช้ในการตักดิน ตักปุ๋ย หรือขุดหลุมขนาดเล็ก ๆ ไม่ลึก เมื่อใช้แล้วควรล้างทำความสะอาด เช็ดให้แห้งแล้วทาด้วยน้ำมันเพื่อกันสนิม เก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย

 

   4.  คราด


 คราด

     ใช้ในการย่อยดินให้เป็นก้อนเล็ก ๆ และใช้เก็บเศษหญ้าบนหน้าดิน เมื่อใช้แล้วควรล้างทำความสะอาด เช็ดให้แห้งแล้วทาด้วยน้ำมันเพื่อกันสนิม เก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย

 

 

   5.  บัวรดน้ำ

 

 บัวรดน้ำ

     ใช้ในการรดน้ำเหมาะกับต้นกล้าหรือต้นไม้ที่มีขนาดเล็กลำต้นอ่อน น้ำที่ออกจากฝักบัวจะเป็นสายขนาดเล็ก ช่วยให้น้ำกับพืชได้ทั่วถึงและต้นไม้ไม่บอบช้ำ เมื่อใช้แล้วล้างทำความสะอาดเก็บเศษหญ้าออกจากบัวรดน้ำเพื่อไม่ให้อุดตันฝักบัวเมื่อนำไปใช้รดน้ำครั้งต่อไป

 

 

 6. จอบ



จอบ

           เป็นอุปกรณ์สำคัญในการเริ่มจัดสวน มีทั้งจอบสำหรับขุดและจอบสำหรับถาก ซึ่งต่างกันที่
   ลักษณะของหน้าจอบ เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน
- จอบขุด หน้าจอบจะโค้งเว้า เหมาะสำหรับขุดหลุมปลูกต้นไม้
- จอบถาก หน้าจอบจะเป็นแนวตรง เหมาะสำหรับใช้ในการย่อยดิน ถากหญ้า หรือปรับระดับพื้นให้เรียบ

 

 7.  บุ้งกี๋




บุ้งกี๋

      เป็นอุปกรณ์สำหรับขนดิน ปุ๋ย เศษวัชพืช และขยะต่างๆ ในสวน ควรเลือกที่มีน้ำหนักเบา เพื่อง่ายต่อการขนย้าย



 

 8.  กรรไกรตัดแต่ง

 
  


กรรไกรตัดแต่ง

    เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ตัดแต่งกิ่งไม้ที่รกเกินไป มีหลากหลายรูปแบบให้เลือกใช้งานตามความเหมาะสม

 

 9.  เครื่องตัดหญ้า




เครื่องตัดหญ้า

   มีหลายแบบให้เลือกใช้ ในกรณีพื้นที่แคบอาจใช้เครื่องตัดหญ้าขนาดเล็ก หากเป็นสนามหญ้า
กว้างๆควรใช้รถตัดหญ้า เพื่อความสะดวก หรือพื้นที่ที่เป็นเนินไม่เรียบอาจใช้กรรไกรตัดหญ้าจะสะดวกกว่า